ติดตามข่าวท้องถิ่น ร้องทุกข์ชาวบ้าน ข่าวอาชญากรรม ข่าวสังคม การเมือง บันเทิง กีฬา และคอลัมน์ วิเคราะห์เจาะลึก รายการพากินพาเที่ยว รับงานอีเวนท์ออกสื่อทุกชนิด สมัครเป็นสมาชิกส่งข่าว ร้องทุกข์ และร้องเรียนได้ที่ pooth.pnn@gmail.com *ห้ามมิให้ผู้สื่อข่าวใช้จรรยาบรรณไปในทางไม่ถูกต้อง (บรรณาธิการบริหาร)
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567
ดร.สุขุม วงประสิทธิ นักปรัชญาชื่อดัง เผยความในใจในวันเกิดปี2566 "ของขวัญวันคล้ายเกิด ที่กระผมปรารถนา ก่อนตาย"
(อ่านแล้ว 5880 ครั้ง)
Share on Google+

 

เนื่องในวันคล้ายวันเกิด ดร.สุขุม วงประสิทธิ อดีตผู้ช่วย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้โพสต์เฟซบุ้คส่วนตัวเปิดเผยความรู้สึกถึงวันเกิดในวันที่ 8 เดือน 8 ปี2566 มีใจความเบื้องต้นเกี่ยวกับธรรมะ ถึงความระลึกต่อผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีบุญคุณกับตนเอง ทั้งในสมัยอยู่กับอดีตเจ้าอาวาสวัดสังฆทาน และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ทำให้ย้อนนึกถึงวันก่อน และนำมาเล่าถึงชีวิตในปัจจุบัน ใจความว่า

วันคล้ายเกิดปีนี้ของกระผม แปลกกว่าทุกปี  บางปีมีโอกาสกราบเท้าพ่อ,แม่ ให้ของขวัญพ่อ,แม่ ปีที่แล้ว ได้กราบเท้าพ่อ,แม่ และได้ให้ของขวัญตามสมควร  แถมยังได้เป่าเค้กฉลอง และร้องเพลงให้ภรรยาฟังอีกด้วย  "อิ่มอก"ได้กราบเท้าพ่อแม่ "อิ่มใจ"ได้พบหน้าภรรยา แต่วันคล้ายวันเกิดปีนี้  แตกต่างจากปีที่แล้วโดยสิ้นเชิง ปีนี้ เสมือนอยู่โดยโดดเดี่ยว  ทำให้คิดถึงแต่เรื่องความตายตลอดเวลา

ในห้วง เดือนเศษที่ผ่านมา  คิดไปคิดมา ซ้ำไป ซ้ำมา วนไป วนมา  ระลึกถึงแต่เรื่องความตายของตัวเอง  คนเราเกิดมาแน่นอนที่สุด คือ  การเจ็บ การป่วย  การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก  สุดท้าย ก็ตายจากโลกนี้ไป ไหนๆ เราเกิดมาทุกคนต้องจากโลกนี้ไป  เป็น สัจจะธรรมแห่งชีวิต  ก่อนจะตาย นอกต้องการดูแลพ่อ, แม่ และครอบครัว เฉกเช่นวิญญูชนพึงกระทำ หรืออย่างน้อยไม่เป็นภาระให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องลำบากด้วย

สิ่งที่กระผมต้องการทำมากที่สุด คือ ต้องการตอบแทนบุญคุณผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดินไทย และโลกใบนี้ มีอยู่ด้วยกัน 2 ท่าน และทั้ง 2 ท่านนี้เคยมีพระคุณกับกระผมโดยตรงอย่างหาที่สุดมิได้ ท่านแรก  คือ หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดสังฆทาน  อ.เมือง จ.นนทบุรี และ ท่านที่สอง คือ ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 22

หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ ถือท่านเป็นครูของกระผมที่เปลี่ยนหัวใจ หรือแนวคิด มุมมองด้านการดำเนินชีวิตใหม่ให้กระผม  และหลวงพ่อสนองในฐานะพระอาจารย์ ที่ให้ความเมตตา กรุณาให้ความรู้และยังให้โอกาสกระผมได้เป็นพิธีกร โฆษกทางสถานีโทรทัศน์ และจัดรายวิทยุ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา (กึ่งอาสาสมัคร หรือvolunteer)

 และเมตตาให้กระผมเป็นอุปฐากฝ่ายฆราวาส ซึ่งกระผมเคยรับใช้ท่านอยู่ประมาณ 3 ปี ได้เห็นข้อวัตรปฏิบัติงดงามมิด่างพร้อย สมเป็นพระสุปฏิปันโน

กระผมได้เห็นปณิธานในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่านจนเป็นที่ประจักษ์จวบทุกวันนี้  ซึ่งท่านเป็นหนึ่งในผู้นำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคแรกๆ เมื่อ กว่า 40 ปีก่อน ทั้งสื่อ โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง  หนังสือธรรมะ  และหนังสือพิมพ์

และช่วงท้ายของชีวิตท่าน ท่านยังกลับไปปลุกจิตสำนึกคนอินเดียให้เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา โดยการเดินธรรมายาตรา 3 ปีติดต่อกันหลายร้อยกิโลเมตรต่อครั้ง เพื่อประกาศธรรมะนำพระพุทธศาสนากลับคืนสู่แผ่นดินแม่ ดินแดนพุทธภูมิ อินเดียและเนปาล จวบวาระสุดท้ายชีวิตท่าน ซึ่งท่านมิใช่เผยแผ่พุทธศาสนาจำเพาะในประเทศอินเดียและเนปาล เท่านั้น ก่อนหน้านี้ ท่านถือเป็นพระสงฆ์สายปฏิบัติยุคแรกๆ นำพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าไปในสหราชอาณาจักรหรือประเทศอังกฤษ,ประเทศเยอรมัน ฯลฯ ลูกศิษย์ท่านซึ่งเป็นพระภิกษุ และฆราวาสใกล้ชิดทราบดี ผลงานของหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ ถือว่ายิ่งใหญ่ จัดได้ว่า เป็นผลงานระดับโลก

ท่านเคยปรารภกับกระผมว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเมตตา ยิ่งใหญ่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าคำว่ารัก"

สิ่งที่กระผมต้องการทำก่อนจากโลกนี้ไป คือ  การรณรงค์ให้คณะศิษยานุศิษย์สามัคคีพร้อมใจกัน

เสนอให้รัฐบาลขึ้นทะเบียนให้หลวงพ่อสนอง ที่เคารพศรัทธาของเรา ขึ้นทะเบียนเป็นบุคคลสำคัญของไทยที่สมควรได้รับยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก ในสาขาการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพ

แห่งองค์การยูเนสโก้ ( UNESCO)

อีกท่านหนึ่งที่กระผมกล่าวมาเบื้องต้นท่านยังมีชีวิตอยู่และเป็นผู้ใหญ่ที่ยังคงเป็นหลักของบ้านเมืองปัจจุบัน เป็นผู้ประสานเชื่อมรอยต่อของบ้านเมืองไม่ให้เกิดความขัดแย้ง รุนแรง  เป็นผู้มีคุณูปการยิ่งในการรักษาดุลยภาพของการเมืองไทยในทุกวันนี้   ซึ่งกระผมเคยได้ความเมตตาจากท่านให้โอกาสรับใช้ท่านประมาณ 4 ปี ในฐานะเลขานุการส่วนตัว  และผู้อำนวยการมูลนิธิฯ แยกส่วน และผู้ช่วยดำเนินกิจกรรมพัฒนาบ้านเมือง สู่ความมีสันติ มั่นคง ยั่งยืน ตามลำดับ  (ซึ่งกระผมปฏิบัติภารกิจในฐานะอาสาสมัครหรือvolunteer)  จึงได้เห็นการปฏิบัติภารกิจของท่านเต็มไปด้วยความทุ่มเท เสียสละ แม้ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อย่างเป็นทางการ  สมควรยิ่งที่ท่านได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ และเคารพนับถือท่านจากหลายๆ ประเทศ ทั่วโลกก็ว่าได้ทั้ง อเมริกา ยุโรป จีน รัสเซีย  กลุ่มประเทศอาหรับ ญี่ปุ่น  และมิตรประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน   ซึ่งล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาท่านได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติสูงสุดจากรัฐบาลกัมพูชา เป็นต้น

ท่านผู้นี้ คือ ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 22 ผลงานของท่านมากมายในการสร้างสันติ และการพัฒนา เช่น โครงการอีสานเขียว  ฮารับปันบารู  ฯลฯ  ที่โดดเด่น ยุติสงคราม รักษาประเทศไทยไว้  ปกป้องไม่ให้คอมมิวนิสต์ยึดบ้าน ยึดเมือง เปลี่ยนระบอบการปกครองประเทศไปเป็นระบอบสังคมนิยม กล่าวคือ รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้มั่นคงสถาพรมาตราบจนทุกวันนี้

ผลงานที่โดดเด่น ชัดเจน ของท่าน คือ ท่านเป็น ผู้ยกร่างนโยบาย (ผู้เขียน และเป็นผู้นำการปฏิบัติงาน) นโยบาย 66/23 ต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสโดยสันติวิธี    และ เสนอให้ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองค์มนตรีผู้วายชนม์ไปแล้ว ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้ลงนาม จึงนำมาซึ่ง ยุติสงครามกลางเมือง บังเกิดความสงบสุข สันติภาพในประเทศไทย ภูมิภาคอาเซียน และสันติภาพโลก บังเกิดขึ้นในเวลาต่อมา

ซึ่งถือเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อแผ่นดินยิ่ง  เพราะนโยบาย 66/23 คือ พุทธวิถี เมตตา กรุณา อภัยทาน ซึ่งเป็นการให้สูงสุด ให้โอกาสมนุษย์ด้วยกันได้กลับตัวกลับใจใหม่ ดังที่พระพุทธเจ้าให้โอกาส "องคุลีมาล" ได้บวชในบวรพระพุทธศาสนา จนบรรลุเป็นพระอรหันต์  เป็นต้น

ผลงานของ ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 22 เป็นประจักษ์ สมควรที่ผู้เกี่ยวข้องหรือรัฐบาลต้องยกย่องเชิดชูเกียรติให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญของประเทศไทยและบุคคลสำคัญของโลก เสนอต่อ องค์การยูเนสโก้    ( UNESCO) 

ฉะนั้น  สรุปวันคล้ายวันเกิดปีนี้  ของกระผม วันที่ 8 เดือน 8

หากยังมีลมหายใจอยู่ กระผมตั้งใจรณรงค์ให้บุคคล 2 ท่านดังกล่าว  เสนอต่อผู้มีอำนาจ วาสนา บารมี  และหรือบุคคลใกล้ชิด ทั้งสองท่านทำเรื่องขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง  เสนอให้รัฐบาลยกย่อง บุลคล 2 ท่านนี้ เป็นบุคคลสำคัญของประเทศไทย และบุคคลสำคัญของโลกต่อองค์การยูเนสโก้  ( UNESCO) ต่อไป

เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้  บุคคลอันทรงคุณค่าทั้งท่าน 2 นี้ เพื่อนำแบบอย่างมาพัฒนาตนเอง และสังคมส่วนรวมสืบต่อไป  นับเป็นบทความแรกที่กระผมมีโอกาสเขียนความในใจ  "ของขวัญวันคล้ายเกิดที่กระผมปรารถนา ก่อนตาย"

ขอขอบพระคุณกับกัลยาณมิตรที่เมตตาอ่านจนจบ

ด้วยรักและเคารพทุกท่านครับ

ดร.สุขุม วงประสิทธิ

8 /8/2566

เศรษฐกิจในประเทศ