เมือวันที่ 27 มิถุนายน 2568 ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) จ.ปทุมธานี ศาลจังหวัดนครนายก และสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) โดย นายกสิชล ว่องไวชล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครนายก และ นายแพทย์สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.)จัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยการส่งตัวจำเลยเข้ารับการบำบัดรักษา

ซึ่งสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) มีภารกิจในการให้บริการประชาชน รักษาความสงบสุขของสังคม จึงได้ร่วมมือผลักดันให้เกิดการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยการส่งตัวจำเลยเข้ารับการบำบัดรักษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันในการสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการให้กระบวนการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาและอุปสรรค ในการส่งตัวจำเลยที่ศาลมีคำสั่งให้เข้ารับการบำบัดรักษาอาการติดยาเสพติดในกลุ่มผู้เสพที่มีอาการทางจิตเวชร่วมด้วย กลุ่มผู้เสพที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน รวมถึงกรณีที่เกิดปัญหาข้อขัดข้องด้านบุคลากรเตียงคนไข้ที่มีข้อจำกัดในบางแห่ง เพื่อเป็นการสงเคราะห์ ช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ที่ติดยาเสพติด ให้มีโอกาสปรับตัว และคืนสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ โดยให้กลุ่มผู้เสพดังกล่าวเข้ารับการบำบัดรักษา ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ บรมราชชนนี (สบยช.) อันเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานให้เป็นรูปธรรมด้านกระบวนการยุติธรรมและด้านการแพทย์ในการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดตามคำสั่งศาล โดยมีวิธีการดำเนินการร่วมกัน 3 ข้อ คือ

1. มีความร่วมมือด้านการประสานงานส่งตัวจำเลยที่ถูกฟ้องในข้อหาเสพยาเสพติดหรือมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ที่มีข้อจำกัดด้านการรักษาด้านอาการของผู้ป่วย ด้านครอบครัว ด้านสิทธิในการรักษา หรือข้อจำกัดตามโรงพยาบาลที่จะส่งไปบำบัดรักษาในเบื้องต้น ศาลจังหวัดนครนายก สามารถส่งตัวจำเลยซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดดังกล่าวเข้ารับการบำบัดรักษา ณ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี เพื่อให้จำเลยเข้ารับการบำบัดรักษาตามคำสั่งศาล

2. สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมรมราชชนนี สามารถรับตัวจำเลยที่ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยในกลุ่มกลุ่มคนไข้ที่มีข้อจำกัดเพื่อทำการรักษาในแนวทางการแพทย์ที่เหมาะสม

3. ให้ความร่วมมือในด้านการจัดทำแนวทางปฏิบัติและการประสานงานในการส่งตัวจำเลย รวมทั้งการรายงานผลการบำบัดรักษาและความคืบหน้าในการบำบัดรักษาเพื่อให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับตัวจำเลยตามที่เห็นสมควรต่อไป